เมื่อพูดถึงงานในห้องปฏิบัติการ (Laboratory) ไม่ว่าจะเป็นด้านการวิจัย การเรียนการสอน หรือกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม “ตู้ดูดควัน (Fume Hood)” ถือเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ขาดไม่ได้ เนื่องจากช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ปฏิบัติงานสูดดมสารเคมีอันตรายหรือสัมผัสไอระเหยที่อาจเป็นพิษต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตาม การปล่อยให้ตู้ดูดควันทำงานไปเรื่อย ๆ โดยไม่ตรวจสอบสภาพหรือซ่อมบำรุงอย่างสม่ำเสมอ อาจนำไปสู่การลดลงของประสิทธิภาพ และที่แย่ไปกว่านั้นคือเกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยสูง
ด้วยเหตุนี้เอง “บริการตรวจเช็คประสิทธิภาพและซ่อมบำรุงตู้ดูดควัน (PM Fume Hood)” จึงถูกออกแบบมาเพื่อตรวจสอบ ปรับแก้ไข และฟื้นฟูสภาพการทำงานของตู้ดูดควันให้คงอยู่ในระดับมาตรฐาน ช่วยยืดอายุการใช้งานและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานได้ตลอดเวลา บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับความสำคัญของตู้ดูดควัน ขั้นตอนหลักในการตรวจเช็คประสิทธิภาพ และเคล็ดลับการบำรุงรักษาอย่างถูกวิธี
ความสำคัญของตู้ดูดควัน (Fume Hood) ในห้องปฏิบัติการ
-
ป้องกันการสัมผัสสารเคมีอันตราย
สารเคมีบางประเภทที่ใช้ในงานทดลองอาจมีไอระเหย หรือสารพิษที่สามารถเข้าสู่ร่างกายทางการหายใจ การทำงานภายในตู้ดูดควันจะช่วยดูดเอาไอระเหยเหล่านั้นออกไปจากพื้นที่ปฏิบัติงาน ลดโอกาสที่ผู้ปฏิบัติงานจะได้รับผลกระทบทางสุขภาพ -
ควบคุมการแพร่กระจายของสารเคมี
นอกจากป้องกันการสูดดมแล้ว การทำงานภายในตู้ดูดควันยังช่วยควบคุมไม่ให้สารเคมีอันตรายกระจายไปยังส่วนอื่นของห้อง หรือฟุ้งกระจายสู่อากาศภายนอก ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม -
รองรับงานทดลองหลากหลาย
ตู้ดูดควันถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการทำปฏิกิริยาเคมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นปฏิกิริยาที่ปล่อยไอระเหยเป็นกรดหรือด่าง หรือการเผาไหม้ที่อาจปล่อยก๊าซพิษ ตู้ดูดควันจะทำหน้าที่กรองและระบายก๊าซเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ -
ส่งเสริมสุขภาพและความปลอดภัย
การลงทุนกับอุปกรณ์เช่นตู้ดูดควัน เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว เพราะจะช่วยป้องกันอุบัติเหตุและการเกิดผลเสียต่อสุขภาพของบุคลากรในห้องปฏิบัติการ
ทำไมต้องตรวจเช็คประสิทธิภาพ (PM) ตู้ดูดควันอยู่เสมอ
-
รักษามาตรฐานความปลอดภัย
หลังจากใช้งานไปนาน ๆ ประสิทธิภาพของพัดลมดูดอากาศ ฟิลเตอร์ หรือท่อระบายอาจเสื่อมลง ถ้าไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ อาจเกิดการรั่วซึม หรือการดูดไม่เพียงพอ ทำให้ผู้ปฏิบัติงานเสี่ยงต่อการสูดดมสารเคมี -
ยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์
ตู้ดูดควันเป็นอุปกรณ์ที่มีราคาค่อนข้างสูง การบำรุงรักษาอย่างถูกวิธี เช่น การเปลี่ยนฟิลเตอร์ตามกำหนด หรือการตรวจเช็กสภาพมอเตอร์พัดลม จะช่วยให้ตู้ดูดควันทำงานได้ดีและมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น -
ประหยัดพลังงาน
หากระบบระบายอากาศทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ มอเตอร์พัดลมอาจต้องใช้กำลังสูงขึ้น หรือมีการเปิดใช้งานนานเกินไป ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานโดยไม่จำเป็น การ PM อย่างถูกต้องจะช่วยปรับแต่งให้ระบบทำงานได้อย่างสมดุล -
เป็นไปตามข้อกำหนดและมาตรฐาน
ในบางอุตสาหกรรมหรือหน่วยงาน อาจมีข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยที่เข้มงวด การทำ PM ตู้ดูดควันตามระยะเวลา จะช่วยให้ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานภายนอกหรือการประเมินตามมาตรฐานได้ง่าย
ขั้นตอนหลักในการตรวจเช็คประสิทธิภาพและซ่อมบำรุงตู้ดูดควัน (PM Fume Hood)
-
ประเมินสภาพภายนอก
-
ตรวจสภาพโครงสร้างตู้ดูดควัน เช่น ผนังตู้ บานหน้าต่าง กระจก หรือบานเลื่อน ว่ามีรอยร้าวหรือจุดชำรุดหรือไม่
-
เช็กขอบยางซีล (Gasket) รอบ ๆ บานเลื่อนหรือช่องเปิด ว่ายังแนบสนิทไม่เสื่อมสภาพ
-
-
ตรวจสอบระบบพัดลมและท่อระบายอากาศ
-
วัดอัตราการไหลของอากาศ (Air Flow) ว่ายังเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดหรือไม่ หากพบว่าต่ำกว่าปกติ อาจเกิดจากฟิลเตอร์อุดตันหรือมอเตอร์ทำงานผิดปกติ
-
ตรวจเช็กมอเตอร์พัดลม สายพาน และจาระบีหล่อลื่น หมั่นเปลี่ยนหรือปรับแต่งตามสภาพการใช้งาน
-
สำรวจท่อระบายว่าไม่มีรอยรั่ว หรือสิ่งกีดขวางภายในท่อ เช่น ฝุ่น กิ่งไม้ หรือรังสัตว์
-
-
ประเมินระบบฟิลเตอร์และสารกรอง
-
ฟิลเตอร์แบบ Activated Carbon หรือ HEPA Filter ในบางตู้ดูดควัน ต้องเปลี่ยนตามระยะเวลาที่กำหนด หรือขึ้นอยู่กับปริมาณสารเคมีที่ดูด
-
หากฟิลเตอร์สกปรกหรืออุดตัน ระบบจะดูดสารเคมีได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้เกิดกลิ่นหรือไอระเหยหลุดรอดออกมา
-
-
ทดสอบการทำงานของอุปกรณ์ควบคุม
-
บางตู้ดูดควันมีระบบควบคุมอัตราการไหลของอากาศอัตโนมัติ หรือเซ็นเซอร์เตือนความผิดปกติ ควรตรวจว่าเซ็นเซอร์ยังทำงานแม่นยำหรือไม่
-
ตรวจสอบแผงควบคุม (Control Panel) และไฟฟ้าภายใน ว่าไม่มีการลัดวงจรหรืออุปกรณ์ชำรุด
-
-
ตรวจดูการทำงานของเสียงและการสั่นสะเทือน
-
หากพัดลมทำงานเสียงดังผิดปกติหรือมีการสั่นสะเทือนสูง อาจบ่งชี้ว่ามอเตอร์หรือตลับลูกปืนเสื่อมสภาพ ควรรีบซ่อมแซมก่อนเกิดความเสียหายร้ายแรง
-
-
ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อภายในตู้
-
ภายในตู้ดูดควันอาจสะสมคราบสารเคมีหรือฝุ่นอยู่ ควรทำความสะอาดด้วยน้ำยาที่เหมาะสม และเช็ดให้แห้งเพื่อป้องกันการกัดกร่อนหรือการปนเปื้อนในอนาคต
-
หากต้องการฆ่าเชื้อ อาจใช้แอลกอฮอล์ หรือสารฆ่าเชื้อที่ไม่กัดกร่อนพื้นผิวของตู้
-
-
บันทึกผลการตรวจเช็คและซ่อมแซม
-
ควรจัดทำบันทึกหรือรายงาน PM ที่ระบุรายละเอียดผลการตรวจ สภาพอุปกรณ์ งานซ่อมที่ดำเนินการ รวมถึงระยะเวลาที่จะต้องตรวจซ้ำครั้งถัดไป เพื่อการวางแผนบำรุงรักษาในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
เคล็ดลับการบำรุงรักษาตู้ดูดควันอย่างถูกวิธี
-
เลือกใช้งานตู้ดูดควันให้เหมาะสมกับสารเคมี
-
หากในห้องปฏิบัติการมีการใช้งานสารเคมีที่เป็นกรด-ด่างรุนแรง หรือสารอินทรีย์ระเหยง่าย ต้องเลือกตู้ดูดควันที่มีวัสดุและสารกรองเหมาะสม พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
-
-
ตั้งเวลาตรวจสอบเป็นประจำ
-
ควรกำหนดรอบการ PM หรือการตรวจสอบ เช่น ทุก 3 เดือน หรือทุก 6 เดือน ขึ้นอยู่กับความถี่และความเข้มข้นของสารเคมีที่ใช้
-
หากเป็นห้องแล็บที่ใช้งานหนัก ควรตั้งรอบการตรวจสอบถี่ขึ้น
-
-
รักษาความสะอาดในแต่ละวัน
-
แม้จะมีการ PM อยู่แล้ว แต่ผู้ใช้งานก็ควรทำความสะอาดตู้ดูดควันหลังใช้งานเสร็จในแต่ละวัน เช่น เช็ดคราบสารเคมีบนผิวตู้หรือพื้นผิวด้านใน
-
อย่าปล่อยให้มีอุปกรณ์หรือขวดสารเคมีเกะกะภายในตู้ เพราะจะทำให้การไหลของอากาศไม่ดี
-
-
อย่าปรับแต่งระบบโดยไม่มีความรู้
-
บางคนอาจเข้าไปปรับตำแหน่งบานเลื่อนหรือความเร็วพัดลมโดยไม่มีความรู้ ซึ่งอาจทำให้ระบบดูดอากาศผิดสมดุล ควรให้ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบหรือปรึกษาผู้ผลิตก่อน
-
-
ระวังการปิดตู้ทันทีหลังใช้งาน
-
แม้ว่าตู้ดูดควันจะหยุดปฏิกิริยาแล้ว แต่ไอระเหยบางชนิดอาจยังคงหลงเหลืออยู่ ควรรอให้พัดลมทำงานต่ออีกสักครู่ เพื่อให้สารเคมีถูกดูดออกจนหมด
-
-
ให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมผู้ใช้งาน
-
บุคลากรที่ใช้ตู้ดูดควันควรผ่านการฝึกอบรมเกี่ยวกับวิธีการใช้งานที่ถูกต้อง ข้อควรระวัง และวิธีจัดการเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น การหกรดของสารเคมีภายในตู้
-
ผลลัพธ์ที่ได้จากการดูแลตู้ดูดควันอย่างสม่ำเสมอ
-
ความปลอดภัยของบุคลากร
เมื่อระบบดูดควันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ บุคลากรในห้องปฏิบัติการจะลดโอกาสสัมผัสสารเคมีที่อันตรายต่อสุขภาพ และทำให้เกิดอุบัติเหตุน้อยลง -
อายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น
การดูแลรักษาเปรียบเสมือนการยืดอายุให้ตู้ดูดควัน ทั้งฟิลเตอร์ พัดลม และโครงสร้าง วัสดุภายในก็จะคงทน ใช้งานได้คุ้มค่าลงทุน -
ประหยัดต้นทุนระยะยาว
หากเกิดการเสียหายร้ายแรง ต้องเปลี่ยนตู้ดูดควันใหม่จะมีค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่การ PM และซ่อมบำรุงเป็นประจำจะช่วยลดโอกาสเกิดความเสียหายใหญ่ และยังประหยัดค่าพลังงาน -
เป็นไปตามมาตรฐานและข้อกำหนด
ในกรณีที่หน่วยงานภายนอกมาตรวจสอบ เมื่อพบว่าตู้ดูดควันมีระบบบำรุงรักษาและผ่านการตรวจเช็คอย่างเป็นระเบียบ ก็จะส่งผลต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือขององค์กร -
สิ่งแวดล้อมภายในห้องแล็บที่ดียิ่งขึ้น
การที่ไอระเหยหรือกลิ่นสารเคมีต่าง ๆ ถูกจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ห้องแล็บเป็นพื้นที่ที่น่าอยู่ น่าทำงาน ผู้อยู่ในห้องแล็บก็คุ้นเคยและทำงานได้สบายใจยิ่งขึ้น
การเลือกผู้ให้บริการตรวจเช็คประสิทธิภาพและซ่อมบำรุงตู้ดูดควัน
-
ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ
-
เลือกบริษัทหรือผู้ให้บริการที่มีผลงานและประสบการณ์ตรงในการดูแลตู้ดูดควันในหลากหลายอุตสาหกรรม เพราะแต่ละห้องแล็บมีรูปแบบการใช้งานและสารเคมีแตกต่างกัน
-
-
การใช้เครื่องมือวัดที่ได้มาตรฐาน
-
ผู้ให้บริการควรมีอุปกรณ์ตรวจสอบอัตราการไหลของอากาศ (Anemometer) หรือเครื่องมือที่แม่นยำ พร้อมใบรับรองการสอบเทียบ (Calibration)
-
-
มีบริการที่ครอบคลุม
-
นอกจากการตรวจเช็คแล้ว ควรมีบริการซ่อมบำรุง เปลี่ยนอะไหล่ ให้คำแนะนำในกรณีที่ระบบต้องปรับปรุงใหญ่ หรือแนะนำการใช้งานที่ถูกต้อง
-
-
บริการหลังการขายและการรับประกัน
-
หากระบบมีปัญหาหลังจากซ่อมแล้ว ควรเลือกผู้ให้บริการที่พร้อมกลับเข้ามาแก้ไขอย่างรวดเร็ว โดยมีเงื่อนไขรับประกันที่ชัดเจน
-
-
การยึดหลักความปลอดภัยเป็นอันดับแรก
-
บริษัทที่ดีจะให้คำแนะนำด้านความปลอดภัยในการใช้งานตู้ดูดควันเพิ่มเติม และปฏิบัติตามกฎระเบียบต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด รวมถึงสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลระหว่างการซ่อมบำรุงในห้องแล็บ
-
สรุป บริการตรวจเช็คประสิทธิภาพ ซ่อมบำรุงตู้ดูดควัน pm fume hood
“บริการตรวจเช็คประสิทธิภาพ (PM) และซ่อมบำรุงตู้ดูดควัน (Fume Hood)” เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับห้องปฏิบัติการที่มีการใช้งานสารเคมีอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะในสถาบันวิจัย โรงงานอุตสาหกรรม หรือห้องแล็บการศึกษา การลงทุนในกระบวนการบำรุงรักษาตามกำหนดเวลา การตรวจสอบสภาพอุปกรณ์ การเปลี่ยนฟิลเตอร์ และการซ่อมแก้ไขความบกพร่อง จะช่วยปกป้องบุคลากรจากสารพิษต่าง ๆ และประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ
ด้วยขั้นตอนการตรวจเช็คตั้งแต่สภาพภายนอก ระบบพัดลม ฟิลเตอร์ ท่อระบายอากาศ จนถึงระบบควบคุมอุปกรณ์ ตู้ดูดควันจึงสามารถรักษาสภาพการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง ส่งผลให้การปฏิบัติงานในห้องแล็บเป็นไปอย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุและการแพร่กระจายของสารอันตราย
สุดท้ายนี้ การเลือกผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลตู้ดูดควัน พร้อมเครื่องมือวัดมาตรฐาน จะช่วยให้คุณมั่นใจว่าการ PM ของตู้ดูดควันเป็นไปอย่างถูกต้อง น่าเชื่อถือ และคุ้มค่าการลงทุนในระยะยาว เมื่อผู้ใช้งานปฏิบัติตามหลักการใช้งานและบำรุงรักษาอย่างถูกต้อง ก็จะส่งเสริมให้ห้องแล็บเป็นพื้นที่ที่มีความปลอดภัยสูงสุด และสร้างผลงานวิจัยหรือการผลิตที่ได้คุณภาพอย่างแท้จริง
อ่านเพิ่มเติม:
รับติดตั้งระบบบำบัดมลพิษทางอากาศ air pollution treatment systems