การทำงานบนที่สูง หรือ Work at Height เป็นรูปแบบงานที่พบเห็นได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้าง งานติดตั้งหรือซ่อมบำรุงโครงสร้างอาคาร งานซ่อมหลังคา งานติดตั้งป้ายโฆษณา หรืองานซ่อมอุปกรณ์บนเสาส่งสัญญาณ จุดร่วมกันคือ พนักงานจำเป็นต้องปฏิบัติงานในระดับที่อยู่สูงกว่าพื้นดินหรือต้องขึ้นไปบนโครงสร้างสูง ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงต่อการตกจากที่สูงและเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงได้
ด้วยเหตุนี้ ความปลอดภัยในการทำงานบนที่สูงจึงเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกองค์กร ผู้ว่าจ้าง หรือแม้แต่ตัวผู้ปฏิบัติงานเอง ต้องให้ความใส่ใจอย่างเคร่งครัด นอกจากจะปฏิบัติตามมาตรฐานสากลและข้อกำหนดทางกฎหมายแล้ว ยังต้องประเมินความเสี่ยงและใช้มาตรการลดอันตรายเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ บทความนี้จะพาทุกท่านไปเจาะลึกถึงหลักการสำคัญและแนวทางปฏิบัติ เพื่อทำงานบนที่สูงได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจ
ความหมายและความสำคัญของ Work at Height
Work at Height หมายถึงการทำงานใด ๆ ก็ตามที่มีความเสี่ยงต่อการตกหรือพลัดตกลงจากตำแหน่งที่อยู่สูงกว่า 2 เมตรขึ้นไป (ตัวเลขอาจเปลี่ยนแปลงตามกฎหมายหรือนโยบายของแต่ละประเทศ) และอาจเป็นระดับที่ต่ำกว่านั้นได้ หากสภาพแวดล้อมหรือโครงสร้างมีอันตรายเพิ่มขึ้น เช่น พื้นผิวลื่น พื้นผิวไม่มั่นคง หรือเป็นช่องเปิดที่ไม่ได้ปิดกั้น
ความสำคัญของการให้ความใส่ใจในความปลอดภัยเมื่อทำงานบนที่สูงมีอยู่ 2 ด้านหลัก ๆ คือ
- ลดความเสี่ยงต่อชีวิตและสุขภาพของคนงาน: การตกจากที่สูงอาจก่อให้เกิดบาดเจ็บสาหัส พิการถาวร หรือถึงขั้นเสียชีวิต การป้องกันจึงจำเป็นอย่างยิ่ง
- ปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐาน: ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย มีกฎหมายกำหนดให้ผู้ประกอบการและผู้ว่าจ้างต้องรับผิดชอบดูแลให้ผู้ปฏิบัติงานบนที่สูงได้รับอุปกรณ์ป้องกันและผ่านการฝึกอบรมอย่างถูกต้อง
ความเสี่ยงและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในการทำงานบนที่สูง
การทำงานบนที่สูงมีความเสี่ยงหลายประการที่ควรระมัดระวัง ได้แก่
- อุบัติเหตุจากการพลัดตกหรือหล่นลงมา: ถือเป็นอันตรายหลักที่รุนแรงที่สุด หากไม่มีการป้องกันที่เหมาะสมอาจส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต
- การล้มของอุปกรณ์ เครื่องมือ หรือวัสดุ: ในขณะที่ปฏิบัติงานบนที่สูง อุปกรณ์ที่ไม่ได้ยึดแน่นอาจตกลงมาโดนผู้คนที่อยู่เบื้องล่าง หรือสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน
- สภาพอากาศหรือสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย: เช่น ลมแรง พื้นลื่นเพราะฝนตก หรืออุณหภูมิสูงเกินไป ล้วนเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงให้กับผู้ปฏิบัติงาน
- การขาดทัศนวิสัยหรือแสงสว่าง: หากทำงานบนที่สูงในช่วงกลางคืน หรือในพื้นที่ที่มีแสงน้อย อาจส่งผลให้การมองเห็นไม่ชัดเจน เกิดการสะดุดหรือลื่นล้ม
- ความเมื่อยล้าหรือสภาพร่างกายของผู้ปฏิบัติงาน: หากผู้ปฏิบัติงานพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือมีสภาวะที่ไม่สมบูรณ์ด้านสุขภาพ อาจเกิดข้อผิดพลาดในการทำงานและเสี่ยงต่ออุบัติเหตุได้ง่าย

ข้อกำหนดทางกฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัย
ในประเทศไทย มีกฎหมายและมาตรฐานหลากหลายที่กำหนดเกี่ยวกับการทำงานบนที่สูง เช่น พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน รวมถึงกฎกระทรวงต่าง ๆ ที่ระบุถึงมาตรฐานเครื่องคุ้มครองส่วนบุคคล (PPE) และการฝึกอบรม นอกจากนี้มาตรฐานสากลเช่น OSHA (Occupational Safety and Health Administration) ของสหรัฐอเมริกา หรือ ISO 45001 ก็มีแนวทางปฏิบัติที่เป็นประโยชน์ ผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามมาตรฐานเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ป้องกันอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยังเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรในแง่ของการดูแลพนักงานอีกด้วย
การประเมินความเสี่ยง
หนึ่งในกระบวนการสำคัญก่อนเริ่มงานบนที่สูงคือการทำ Risk Assessment หรือประเมินความเสี่ยง ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนหลัก ๆ คือ
- ระบุอันตราย: สังเกตว่ามีสิ่งใดบ้างที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุหรือเกิดผลเสียต่อสุขภาพ
- ประเมินความเสี่ยง: วัดระดับความรุนแรงและโอกาสเกิดของอันตรายที่ระบุได้
- กำหนดมาตรการป้องกันหรือควบคุม: เลือกใช้วิธีลดความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ เช่น ติดตั้งรั้วกั้น เพิ่มระบบกันตก (Fall Protection) หรือใช้อุปกรณ์ PPE ที่เหมาะสม
- ติดตามผลและทบทวน: กระบวนการนี้ควรทำอย่างต่อเนื่อง หากมีการเปลี่ยนแปลงในขั้นตอนการทำงานหรือเกิดเหตุการณ์ใหม่ ๆ ควรปรับปรุงมาตรการให้สอดคล้อง
การใช้อุปกรณ์คุ้มครองส่วนบุคคล (PPE)
PPE หรือ Personal Protective Equipment ถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการตกจากที่สูง โดยทั่วไปแล้ว มีอุปกรณ์หลายประเภทที่ควรใช้ ได้แก่
- เข็มขัดนิรภัย / สายรัดตัวเต็ม (Full Body Harness): ควรเลือกที่มีมาตรฐานรับรอง และเหมาะสมกับงาน เพราะหากเกิดอุบัติเหตุ เข็มขัดนิรภัยจะช่วยกระจายน้ำหนักไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ป้องกันการบาดเจ็บรุนแรง
- สายแลนยาร์ด (Lanyard) หรือระบบกันตก (Fall Arrest System): เป็นสายหรืออุปกรณ์สำหรับยึดตัวผู้ปฏิบัติงานเข้ากับจุดยึด (Anchor Point) ที่มั่นคง เพื่อป้องกันการตก
- หมวกนิรภัย (Helmet): เพื่อป้องกันศีรษะจากการกระแทกหรือสิ่งของหล่นใส่
- รองเท้านิรภัย (Safety Shoes): ควรเป็นรองเท้าที่มีพื้นกันลื่นและสามารถป้องกันเหล็กหรือวัตถุต่าง ๆ ได้
- ถุงมือและแว่นตานิรภัย (Gloves, Safety Glasses): ใช้ในกรณีที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสสารเคมี หรือวัตถุที่อาจกระเด็นเข้าดวงตา
ข้อสำคัญคือ ต้องตรวจสอบสภาพของ PPE อย่างสม่ำเสมอ หากพบว่ามีการชำรุด ควรเปลี่ยนทันที เพื่อรักษาความปลอดภัยให้สูงสุด
ระบบกันตก
Fall Protection System เป็นหัวใจสำคัญของการทำงานบนที่สูง ประกอบด้วยหลายรูปแบบ เช่น
- Guardrails: รั้วกั้นรอบขอบพื้นหรือขอบหลังคา ป้องกันไม่ให้ผู้ปฏิบัติงานเดินหลงหรือลื่นตกลงมา
- Safety Net: ตาข่ายกันตกที่ติดตั้งไว้ด้านล่างของพื้นที่ทำงาน หากคนงานพลัดตก ตาข่ายจะรองรับได้
- Personal Fall Arrest System (PFAS): ประกอบด้วย Full Body Harness, Lanyard, และ Anchor Point ช่วยหยุดการตกอย่างนุ่มนวล โดยกระจายน้ำหนักไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
- Restraint System: ป้องกันไม่ให้คนงานเข้าใกล้บริเวณขอบหรือจุดเสี่ยงต่อการตก ระบบนี้ไม่ได้หยุดการตก แต่จำกัดพื้นที่ไม่ให้เข้าใกล้ขอบมากเกินไป
การฝึกอบรม (Training) และการสร้างความตระหนักรู้
การฝึกอบรม เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญในการทำให้คนงานเข้าใจถึงอันตรายและแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง เริ่มตั้งแต่:
- ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการทำงานบนที่สูง: กฎหมาย มาตรฐาน และบทบาทความรับผิดชอบของผู้ปฏิบัติงาน
- การประเมินความเสี่ยงและการวางแผนงาน: สอนวิธีการมองหาปัจจัยเสี่ยงและวางแนวทางลดอันตราย
- การใช้งานและดูแลอุปกรณ์ PPE: สาธิตวิธีการสวมใส่เข็มขัดนิรภัยหรือสายแลนยาร์ดอย่างถูกต้อง รวมถึงการตรวจสอบสภาพก่อนใช้งาน
- สถานการณ์จำลองและภาคปฏิบัติ: ให้ผู้เรียนได้สัมผัสสถานการณ์จริงหรือสถานการณ์จำลอง เพื่อฝึกตัดสินใจเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
การฝึกอบรมควรจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีหรือเมื่อมีบุคลากรใหม่เข้ามา ทำให้ทุกคนมีความตระหนักรู้ในความปลอดภัยและพร้อมปฏิบัติตาม
การตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์ (Inspection & Maintenance)
อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานบนที่สูงต้องได้รับการดูแลและตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ได้แก่
- PPE: ควรตรวจสอบสภาพของสายรัด เข็มขัดนิรภัย หมวก ฯลฯ ก่อนใช้งานทุกครั้ง หากพบรอยฉีกขาดหรือส่วนที่ชำรุด ควรหยุดใช้งานทันที
- Anchor Point: ต้องตรวจสอบว่ายังแข็งแรง สามารถรับแรงกระชากในกรณีตกได้ตามมาตรฐานหรือไม่
- ระบบกันตก: ตรวจสอบว่าระบบสปริงใน Lanyard หรือตัว Absorber ยังทำงานได้ดี รวมถึงตาข่ายกันตก (Safety Net) ไม่มีรูหรือส่วนชำรุด
- ทำบันทึกประวัติ (Logbook): ทั้งผู้ใช้งานและผู้ดูแลควรจดบันทึกการตรวจสอบและการใช้งานทุกครั้ง เพื่อสามารถติดตามอายุการใช้งานและสภาพอุปกรณ์ได้อย่างเป็นระบบ
การใช้บันได นั่งร้าน และอุปกรณ์ช่วยอื่น ๆ
นอกจากสายรัดนิรภัยและระบบกันตกแล้ว การทำงานบนที่สูงยังเกี่ยวข้องกับการใช้อุปกรณ์อย่างบันไดหรือนั่งร้าน ซึ่งต้องมีมาตรฐานและใช้อย่างถูกวิธี
- บันได (Ladder): เลือกใช้บันไดที่แข็งแรง วางบันไดบนพื้นราบและไม่ลื่น หากเป็นงานที่ต้องใช้เวลานาน ควรพิจารณาใช้นั่งร้านแทน นอกจากนี้ควรมีคนช่วยจับบันไดหรือผูกยึดให้มั่นคง
- นั่งร้าน (Scaffold): ต้องติดตั้งโดยผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ตามมาตรฐานที่กำหนด เช่น มีราวกันตก มีแผ่นรองที่มั่นคง และไม่ยื่นเกิน
- Suspended Platform: งานบางประเภท เช่น ซ่อมผนังอาคารสูง อาจใช้อุปกรณ์แขวนแทน ซึ่งต้องมีระบบสายสลิงสองเส้นและระบบกันตกเสริม เพื่อความปลอดภัยยิ่งขึ้น
พฤติกรรมและวินัยของผู้ปฏิบัติงาน
แม้ว่าจะมีการติดตั้งอุปกรณ์และระบบความปลอดภัยที่ครบถ้วนแค่ไหน แต่ถ้าผู้ปฏิบัติงานขาดวินัยหรือไม่ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ โอกาสเกิดอุบัติเหตุย่อมสูงขึ้น ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ
- เคารพกฎระเบียบ: ปฏิบัติตามขั้นตอนความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด ไม่ละเลยหรือเร่งรัดเพื่อประหยัดเวลา
- ไม่ประมาท: ตรวจสอบสภาพแวดล้อมก่อนเริ่มงาน และหากพบจุดเสี่ยงหรือข้อผิดปกติ ควรแจ้งผู้บังคับบัญชาเพื่อแก้ไขก่อน
- ไม่เสี่ยงโดยไม่จำเป็น: หากงานที่ทำอยู่มีวิธีการที่ปลอดภัยกว่า เช่น ใช้รถเครนหรือใช้บันไดแบบมีระบบกันตกเสริม ก็ควรเลือกใช้แม้ว่าอาจยุ่งยากเล็กน้อยก็ตาม
- สื่อสารกับเพื่อนร่วมทีม: หากเห็นสิ่งผิดปกติ หรือมีคนงานรายอื่นทำงานเสี่ยง ควรเตือนและช่วยกันแก้ไขปัญหา
การบริหารความต่อเนื่องของงานและสถานการณ์ฉุกเฉิน
การวางแผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น คนงานเกิดอาการหน้ามืด หรือมีพายุฝนอย่างกะทันหัน เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำงานบนที่สูง องค์กรควรมีขั้นตอนปฏิบัติชัดเจน เช่น
- หยุดงานทันทีเมื่อสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย
หากเกิดพายุฝน ลมแรง หรือฟ้าผ่า ควรหยุดงานและหาที่หลบภัยอย่างปลอดภัย จนกว่าสภาพอากาศจะกลับมาเป็นปกติ - แผนกู้ภัยหรือการช่วยเหลือฉุกเฉิน
หากเกิดเหตุคนงานตกจากที่สูง หรือติดอยู่บนโครงสร้าง ต้องมีทีมกู้ภัยที่ผ่านการฝึกอบรม หรือสามารถประสานงานหน่วยงานฉุกเฉินภายนอกได้ทันเวลา - การตรวจสุขภาพก่อนเริ่มงาน
ในบางสถานการณ์หรืองานที่มีความเสี่ยงสูง ควรให้คนงานผ่านการตรวจสุขภาพประจำ เพื่อตรวจดูว่ามีโรคประจำตัวหรือความพร้อมของร่างกายเพียงพอหรือไม่
บทสรุป: ความปลอดภัยในการทำงานบนที่สูง (Work at Height)
“ความปลอดภัยในการทำงานบนที่สูง (Work at Height)” ไม่ได้เป็นเรื่องเฉพาะของฝ่ายความปลอดภัยหรือผู้ควบคุมงานเท่านั้น แต่เป็นความรับผิดชอบของทุกคนในองค์กร ตั้งแต่ผู้บริหารที่ต้องจัดสรรงบประมาณและวางแผนงานให้เหมาะสม ผู้บังคับบัญชาที่ต้องกำกับดูแลการปฏิบัติงาน ตลอดจนคนงานที่ลงมือทำงานจริง
เมื่อตระหนักถึงความเสี่ยงและเข้าใจวิธีจัดการอย่างถูกต้อง เราจะสามารถลดจำนวนอุบัติเหตุ บาดเจ็บ หรือการสูญเสียชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนั้น ยังช่วยสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กรที่เข้มแข็ง ยั่งยืน และเพิ่มผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การปฏิบัติตามมาตรฐานกฎหมาย การประเมินความเสี่ยง การใช้ PPE ที่เหมาะสม ติดตั้งระบบกันตก ตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการฝึกอบรมให้ทุกคนมีความรู้และวินัย ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การทำงานบนที่สูงเป็นไปอย่างปลอดภัยและเกิดประสิทธิผลสูงสุด
อ่านเพิ่มเติม: บริการรับล้างถังเคมี ถังบำบัดน้ำเสีย